ผู้เขียน หัวข้อ: วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี  (อ่าน 4 ครั้ง)

siritidaphon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 632
    • ดูรายละเอียด
วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี
« เมื่อ: วันที่ 19 มกราคม 2025, 15:22:38 น. »
วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี

โรคตับอักเสบบีเกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (hepatitis B virus) ซึ่งสามารถติดต่อทางเลือด น้ำเชื้อ และน้ำคัดหลั่ง โดยติดต่อผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ การสัมผัสใกล้ชิดระหว่างบุคคล การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การใช้แปรงสีฟัน มีดโกน ที่ตัดเล็บร่วมกัน การใช้เข็มสักตามตัวหรือสีที่ใช้สักตามตัวร่วมกัน การเจาะหู และการติดเชื้อขณะคลอดจากมารดาที่มีเชื้อสู่ทารก โดยในปัจจุบันวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อคือการได้รับวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี

 
ผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีจะมีอาการอย่างไร

อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบี แบ่งได้เป็น 2 ระยะ คือ

    ระยะเฉียบพลัน: ผู้ป่วยส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 50 รวมถึงทารกที่ได้รับเชื้อจากมารดามักไม่มีอาการป่วย แต่ในบางรายอาจมีอาการแสดงดังนี้ มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ตัวเหลืองตาเหลือง ปัสสาวะมีสีคล้ำ ปวดข้อ โดยทั่วไปจะเริ่มมีอาการภายใน 6 เดือนหลังได้รับเชื้อ โดยจะหายเป็นปกติเมื่อร่างกายสามารถกำจัดและควบคุมเชื้อไวรัสตับอักเสบได้
    ระยะเรื้อรัง: ผู้ป่วยที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อออกได้หมดจะทำให้ผู้ป่วยมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคตับอักเสบบีระยะเรื้อรังมักไม่มีอาการแสดงใดๆ แต่หากปล่อยไว้อาจมีการดำเนินไปของโรคเป็นโรคตับที่รุนแรงได้ เช่น โรคตับแข็ง และมะเร็งตับ โดยในบางรายก็อาจยังไม่มีอาการแสดงของโรคอยู่ดี แต่เมื่อตรวจเลือดจะพบว่าค่าการทำงานของตับนั้นผิดปกติไป

ใครควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี

เด็กและวัยรุ่น:

    เด็กทุกคนควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบีตั้งแต่แรกเกิด และควรฉีดให้ครบภายใน 6-18 เดือน
    เด็กหรือวัยรุ่นที่อายุไม่เกิน 19 ปี และยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบีมาก่อน


ผู้ใหญ่: บุคคลดังต่อไปนี้ควรได้รับวัคซีน

    มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
    มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนมากกว่าหนึ่งคนขึ้นไป
    เป็นโรคตับหรือไตเรื้อรัง รวมถึงผู้ป่วยที่กำลังล้างไต
    ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบี
    มีเพศสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศ
    บุคคลทั่วไปที่ต้องการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน
    ติดเชื้อเอชไอวี
    เป็นโรคเบาหวาน
    มีหน้าที่ต้องสัมผัสกับเลือดของผู้อื่น
    มีประวัติฉีดยาเสพติดหรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
    ต้องเดินทางไปยังประเทศที่มีอุบัติการณ์ของโรคตับอักเสบบีสูง
     

วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบีมีวิธีการฉีดอย่างไร

ปกติแล้ววัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบีเข้าทางกล้ามเนื้อบริเวณต้นแขนหรือต้นขา ฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ดังตาราง
 

เข็มที่ 1                                      เข็มที่ 2                     เข็มที่ 3
เข็มแรกเริ่มต้นนับเป็นเดือนที่ 0    1 เดือน หลังจากเข็มแรก         6 เดือน หลังจากเข็มแรก
 

พบว่ามากกว่าร้อยละ 95 ของผู้ที่ได้รับวัคซีนครบสามเข็มจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันจนถึงระดับที่สามารถป้องกันโรคได้ และไม่มีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิซ้ำ ยกเว้นในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือผู้ป่วยที่กำลังล้างไต

ควรทำอย่างไรหากไม่สามารถมาฉีดวัคซีนตามกำหนดนัด
หากผู้ป่วยไม่สามารถมารับการฉีดวัคซีนได้ตามเวลานัด โดยมาช้ากว่ากำหนด ผู้ป่วยสามารถฉีดวัคซีนเข็มต่อไปได้เลยโดยไม่มีความจำเป็นต้องให้วัคซีนเพิ่มหรือเริ่มฉีดเข็มแรกใหม่
 
 
ใครไม่ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี หรือควรชะลอไว้ก่อน

    ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ยีสต์ทำขนมปังหรือส่วนประกอบของวัคซีนไม่ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี
    ผู้ที่มีอาการแพ้วัคซีนโรคตับอักเสบบีหลังจากฉีดเข็มแรก เช่น มีอาการไข้สูง หายใจลำบาก ผื่นลมพิษ อ่อนเพลีย
    หัวใจเต้นเร็ว ไม่ควรได้รับการฉีดวัคซีนตับอักเสบบีเข็มที่สอง
    ผู้ที่มีอาการป่วยปานกลางหรือป่วยมากควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายเป็นปกติ

 
อาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดจากวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบีมีอะไรบ้าง

    อาการส่วนใหญ่ที่พบหลังฉีดวัคซีน คือ อาการปวดบวมบริเวณที่ฉีดยาซึ่งอาการดังกล่าวสามารถหายได้เอง
    ร้อยละ 10 ของผู้ที่ได้รับวัคซีนอาจมีอาการข้างเคียงอื่นๆ ที่ไม่รุนแรง เช่น ไข้ อ่อนเพลีย หรือปวดศีรษะหลังจากฉีดวัคซีน
    มักเริ่มมีอาการ 3-4 ชั่วโมงหลังฉีด และอาการจะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง
    อาการแพ้ที่รุนแรงนั้นพบได้น้อยมาก


อันตรกิริยาระหว่างยา (ผลต่อยาอื่น)
ยาบางตัวอาจมีผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี เช่น ยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ที่รับประทานยาในกลุ่มนี้หรือกลุ่มอื่นๆ อยู่ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนที่จะรับการฉีดวัคซีนตับอักเสบบี


ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B)

ไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคติดเชื้อที่ส่งผลต่อการทำงานของตับ โดยเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ซึ่งสามารถนำไปสู่โรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับได้ โรคนี้เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย

การติดต่อของไวรัสตับอักเสบบี

    การสัมผัสกับเลือดหรือของเหลวในร่างกาย เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือการสัมผัสกับเลือดที่มีเชื้อ
    การติดต่อทางเพศสัมพันธ์
    การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในระหว่างคลอด


อาการของไวรัสตับอักเสบบี

    ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอาจไม่มีอาการใด ๆ ในระยะแรก แต่เมื่ออาการปรากฏ อาจมีลักษณะดังนี้:
    อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย
    เบื่ออาหารและน้ำหนักลด
    ปัสสาวะสีเข้ม
    ตัวและตาเหลือง
    ปวดท้องและอาเจียน

การป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

    ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
    ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์
    หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
    ตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อป้องกันและตรวจหาการติดเชื้อในระยะเริ่มต้น

การรักษา
ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีที่อยู่ในระยะเรื้อรังอาจต้องรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับ การติดตามผลและการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ